Hojin no ie: บ้านของยามชายแดน

ระหว่างทางไปจังหวัดยะมะงะตะ เราวกอ้อมไปแวะ Hojin-no-ie Inn ที่นี่เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่มัตสึโอะ บะโช เคยเข้าพักเพียงแห่งเดียวที่หลงเหลืออยู่บันทึกกล่าวว่ามัตสึโอะ บะโช มาแถวนี้ในฤดูฝน จึงต้องพักที่โรงแรมสองสามคืนเพราะถนนอยู่ในสภาพย่ำแย่ พอเขายืดระยะเวลาการพักแรม สถานที่แห่งนี้จึงเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาเนื่องจากว่าเขาฆ่าเวลาด้วยการแต่งกลอนไฮกุหลายบทขณะอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ ชื่อของโรงแรมแปลตรงตัวได้ว่า “บ้านสำหรับผู้อาศัยตามชายแดน” ด่านตรวจ ชายแดนในอดีตที่ชื่อ “Shitomae-no-seki” ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงจึงสร้างรูปปั้นของกวีผู้มีชื่อเสียงขึ้นมาเพื่อระลึกถึงการมาเยือนของเขา

หลังออกเดินทางจากโรงแรม พวกเราก็เดินทางไปยังวัด Risshakuji ต่อเลย ที่นี่เป็นสถานที่ที่มัตสึโอะ บะโช แต่งกลอนไฮกุอันโด่งดังท่ีมีช่ือว่า “เสียงร้องแหลมของจั๊กจั่นซึมเข้าสู่ก้อนหินท่ามกลางความเงียบสงัด” แม้จะมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัด Risshakuji แต่โดยทั่วไปคนจะเรียก วัดแห่งนี้ว่า วัด Yamadera (ความหมายตรงตัวคือวัดบนเขา) และเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญยอดนิยมสำหรับแฟนๆ ของกวีผู้นี้ทั้งจากในญี่ปุ่นและต่างประเทศทั่วโลก เนื่องจากว่ามีสิ่งปลูกสร้างที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกว่า 30 แห่งให้ชื่นชมในอาณาบริเวณของ วัด Yamadera ก็เลยมีส่ิงน่าสนใจให้รับชมตลอดทางบนยอดเขามีจุดชมวิวที่เรียกว่า Godaido Hall ให้สำาราญใจกับทัศนียภาพแปลกไม่เหมือนใครของหุบเขาด้านล่าง

Godaido Hall ที่อยู่ด้านบนสุดของวัด Yamadera

เมื่อสามร้อยปีก่อน มัตสึโอะ บะโช และลูกศิษย์ที่ชื่อ คาวาอิ โซระ ได้ นั่งเรือล่องไปตาม แม่น้ำ Mogamigawa เพื่อรับชม Dewa Sanzan อันเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามที่มีชื่อเสียงในจังหวัดยะมะงะตะ เรากระโดดขึ้นเรือเพื่อสัมผัสบรรยากาศของแม่น้ำด้วยตัวเองแล้วระหว่างทางก็ได้รับชมเฉดสีต่างๆนานาในฤดูใบไม้ร่วง พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่กัปตันไม่เพียงอธิบายเกี่ยวกับทัศนียภาพโดยละเอียด แต่ยังร้องเพลงพื้นบ้านของท้องถิ่นให้เราฟัง มิหนำซ้ำยังพาเราแวะร้านที่เสิร์ฟปลาย่างสดใหม่ด้วย เส้นทางนี้เคยเป็นการคมนาคมเพียงวิธีเดียวในสมัยของ มัตสึโอะ บะโช แต่นับแต่นั้นเป็นต้นมา การนั่งเรือชมทิวทัศน์ก็ถูกพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งสำาคัญแห่งหนึ่งในย่านนี้!

คิซาคาตะ: ทิวทัศน ์อันยอดเยี่ยมแห่งอดีตกาล

บทกลอนของมัตสึโอะ บะโช เก็บรักษาภาพที่ไม่มีอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้วเอาไว้ ช่วยให้เราได้จินตนาการถึงน้ำาทะเลซึ่งอยู่ล้อมรอบเกาะเล็กๆ ในสมัยเอโดะ หรือไม่ก็ ทำาให้เรามองเห็นภาพของทะเลในน้ำาตื้นที่ปกคลุมนาข้าว

คิซาคาตะในจังหวัดอะคิตะคือจุดหมายปลายทางตอนเหนือสุดที่กล่าวถึงในโอคุ โนะ โฮโซมิจิ สมัยก่อนเคยได้รับการขนานนามว่าเป็น เกาะ Kujuku (99 เกาะ) เพราะมีเกาะเล็กๆมากมายที่ลอยอยู่ตามส่วนเว้าของแนวเขาในบริเวณนี้ มัตสึชิมะคว้าตำแหน่งสุดยอดทิวทัศน์ในฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่นก็จริง แต่คิซาคาตะก็เคยเป็นที่รู้จักในฐานะทิวทัศน์อันงดงามที่สุดในฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่นในสมัยเอโดะ น่าเสียดายที่การระเบิดของภูเขา Chokaisan เป็นเหตุให้ท้องทะเลดันตัวขึ้นเกาะเหล่านี้จึงมีแต่แผ่นดินไม่เต็มไปด้วยน้ำอีกต่อไป เกาะเหล่านี้ยังคงมีรูปร่างคล้ายกับภาพในสมัยโบราณกาลโดยเฉพาะเมื่อมีการปล่อยนำ้าท่วมนาข้าวก่อนถึงฤดูปลูกข้าว

Naruko Gorge
ช่องเขา Naruko และสะพาน Osukazawa เส้นทาง Oku no Hosomichi Yukemuri

 

Comments