นอกจากแนวฝั่งทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตาแล้ว วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของโอกินาวะยังเป็นเหตุผลที่ทำให้ที่นี่แตกต่างจากที่อื่นๆ ก่อนอื่นก็ต้องเรียนรู้ความเป็นมาและประวัติศาสตร์เสียก่อน เพื่อที่จะเข้าใจและใช้เวลาที่นี่ได้อย่างอิ่มเอมมากขึ้น
ก่อนจะมาเป็นจังหวัดในญี่ปุ่น โอกินาวะเคยเป็นอาณาจักรริวกิว ซึ่งมักจะทำการค้าขายกับประเทศจีนและประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ในปัจจุบันเรายังเห็นอิทธิพลทางวัฒนธรรมในโอกินาวะอยู่ ในศตวรรษที่ 17 โอกินาวะถูกโจมตีโดยแคว้นซัทสึมะ (คาโกชิมะในปัจจุบัน) และถูกเข้ายึดครองโดยญี่ปุ่นในที่สุด ในปีค.ศ.1879 หลังสงครามก็ถูกควบคุมภายใต้อำนาจของสหรัฐอเมริกา และคืนให้ญี่ปุ่นอีกครั้งในปีค.ศ.1972 และยังคงมีฐานทัพทหารอเมริกันอยู่จนถึงทุกวันนี้
แม้จะมีบาดแผลจากเรื่องราวในอดีต แต่ชาวโอกินาวะก็ใช้ชีวิตอย่างมีพลังและเปี่ยมไปด้วยความหวัง พวกเขาเรียกตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่า “Uchinanchu” ในภาษาถิ่น และมีวลีที่พูดกันว่า “Nankurunaisa” แปลว่า “ทุกอย่างจะโอเคเอง” แค่นี้ก็รู้แล้วว่าชาวโอกินาวะเต็มไปด้วยพลังบวกกันขนาดไหน

การอยู่ที่นี่ทำให้ฉันสามารถสนุกกับชีวิตอย่างไม่เร่งรีบ
วิธีปรับตัวให้เข้ากับ ‘เวลาโอกินาวะ’

ข้อหนึ่งเลยก็คือ อย่าไปตรงเวลาในงานปาร์ตี้! ระหว่างการสังสรรค์อันครื้นเครงก็มักจะมีเบียร์ Orion และอาวะโมริ (คล้ายสาเกของญี่ปุ่น แต่ทำจากข้าวไทย) ให้เห็นเสมอ โอกินาวะมีความคล้ายคลึงกับประเทศไทย โดยเฉพาะอาหารจีนและวัฒนธรรมต่างๆ พิธีกวาดลานหลุมศพ “Shimi” ก็คล้ายกับเช็งเม้ง นอกจากนั้นยังมีเทศกาลเรือมังกร “Hari” ประกอบด้วยพิธีกรรมและการแข่งเรือเพื่ออวยพรชาวประมงให้จับปลาได้และเดินทางปลอดภัย
ฉันมีความเชื่อว่าการสื่อสารกับผู้คนท้องถิ่น และการสัมผัสวัฒนธรรมด้วยตัวเองจะทำให้เรารู้จักสถานที่นั้นมากยิ่งขึ้น ระหว่างที่อยู่ที่นี่ 2 ปี ฉันก็ได้เข้าใจความหมายของวลีที่ว่า “Ichariba Cho-de” ซึ่งแปลว่า “แค่เจอกันครั้งแรก เราก็เป็นพี่น้องกันแล้ว” การต้อนรับอย่างอบอุ่นของผู้คนทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว และนี่ก็เป็นเหตุผลหลัก (นอกจากทะเลสวย) ที่ทำให้ฉันคิดถึงโอกินาวะเหลือเกิน

วัฒนธรรมของโอกินาวะ

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ทำให้โอกินาวะมีกลิ่นอายผสมผสานระหว่างตะวันออกและตะวันตก วัฒนธรรมของที่นี่ดูคุ้นเคยและแปลกใหม่ในเวลาเดียวกัน – ที่ยืนอยู่หน้าบ้าน ร้านค้า หรือบนหลังคาก็คือ “Shisa” รูปปั้นสิงโตซึ่งพบเห็นได้ในเอเชีย เชื่อกันว่าจะคอยปกป้องคุ้มครองและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไป ที่คล้ายๆกันก็จะมี “Ishiganto” แผ่นศิลาจารึก มักจะพบอยู่ตามมุมถนนเพื่อป้องกันวิญญาณร้าย และยังมี “Sanshin” เครื่องดนตรีสามสายทำจากหนังงู ลักษณะคล้าย Shamisen ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงจะนึกถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมาทันทีทันใด สำหรับฉัน ไม่มีอะไรจะบอกเล่าความเป็นโอกินาวะได้มากกว่า “Shima-uta” (เพลงเกาะ) อีกแล้ว

อาหารโอกินาวะ

อาหารบนเกาะนี้สะท้อนความหลากหลายของวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี อาหารโอกินาวะผสมผสานระหว่างหลายประเทศ อย่างหมูสามชั้นตุ๋นจนนุ่มที่ใช้ในโอกินาวะโซบะ ไปจนถึงหูหมู เมนูเนื้อหมูของที่นี่มักจะมาจากจีนเสียมากกว่า อาหารโอกินาวะจานแรกที่ฉันลองทำก็คือ “Champuru” จานผัดที่ประกอบไปด้วยโกยะ(มะระญี่ปุ่น) เต้าหู้ ไข่ และเนื้อสัตว์ ชื่อเมนูนี้มาจากคำว่า ‘Campur’ ในภาษามาเลเซีย แปลว่า ‘ผสมกัน’ สื่อถึงความหลากหลายในอาหารโอกินาวะนั่นเอง เมนูที่ละลานตาทำให้ฉันลืมสนิทว่าชาวบ้านให้ความสำคัญกับการกินมากแค่ไหน – “The Okinawa Program” มีขึ้นมาเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารท้องถิ่นช่วยส่งเสริมสุขภาพและอายุยืน การกินอย่างสมดุลนี้มีกฏหลักอยู่หนึ่งข้อ คือ ‘Hara Hachi-bu’ หรือ ‘กินให้อิ่มเพียง 80%’

เกาะหลัก "เมืองนาฮะ" - ไปดูกันว่ารอบๆ มีอะไรบ้าง

นาฮะเป็นเมืองหลวงของเกาะหลัก ซึ่งเป็นบ้านของฉันมาสองปี ในเมืองอาจจะไม่ได้มีสถานที่ท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ แต่ถือเป็นจุดศูนย์กลางที่ดีในการไปเที่ยวรอบๆ

1. ปราสาทชูริ

ได้รับการแต่งตั้งเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ในปี 2000 ปราสาทชูริเคยเป็นพระราชวังของกษัตริย์แห่งริวกิวมาก่อน และยังเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมทางวัฒนธรรมและทางการทูต ใช้เวลาไม่นานในการสำรวจภายในปราสาท สถาปัตยกรรมในปราสาทได้รับอิทธิพลมาจากจีนอย่างเห็นได้ชัด สุสาน Tamaudun ของราชวงศ์ที่อยู่ข้างๆทำให้ได้รู้เกี่ยวกับอาณาจักรริวกิวมากขึ้น และเป็นตัวอย่างที่ดีของวัฒนธรรมการฝังศพแบบโอกินาวะ เดินต่อไปยัง Kinjo-cho บนถนนที่ปูด้วยหิน ขนาบข้างด้วยบ้านหลังคาสีแดงเรียงราย

2. ถนนโคคุไซ (Kokusai Dori)

ถนนความยาว 2 กิโลเมตรแห่งนี้อยู่ในพื้นที่เมืองนาฮะ ถนนโคคุไซเป็นศูนย์รวมความทันสมัยและประเพณีดั้งเดิมเข้ามาไว้ด้วยกัน วันอาทิตย์จะปิดถนนให้กลายเป็นถนนคนเดิน มักจะแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยวเสมอ มีร้านค้ามากมายให้เลือก แต่ฉันเลือกที่จะเลี่ยงความวุ่นวาย และหลีกตัวมายังถนนช้อปปิ้งย้อนยุคที่เฮวะโดริ และมากิชิโดริ จะได้มาแอบดูการใช้ชีวิตของชาวบ้านด้วย

สิ่งที่ห้ามพลาด

ลองไปดูอีเวนต์ใหญ่ๆ อย่างขบวนพาเหรดของนักเต้นเอซากว่า 10,000 คนในฤดูร้อนกันเถอะ! การเต้นตามประเพณีดั้งเดิมที่ฉันสอบตก “เอซา” จะถูกจัดขึ้นในหลายๆ เทศกาล นักเต้นจะตีกลองหลากหลายขนาด พร้อมกับขยับท่วงท่าไปตามเสียงดนตรี เทศกาลที่ห้ามพลาดเลยก็คือ “เทศกาลชักเย่อยักษ์” ในเดือนต.ค. และ “นาฮะมาราธอน” ในเดือนธ.ค.

   6 ของกินที่ต้องลองบนถนนโคคุไซ

Chinsuko
Chinsuko (ちんすこう) – ขนมที่ค่อนข้างหรูหราในสมัยก่อน คุกกี้แบบดั้งเดิมของโอกินาวะชิ้นนี้จะละลายในปากทันที!
มันม่วง (紅芋) – มันม่วงปลูกเองเต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหาร ถูกนำไปแปรรูปเป็นอาหารและขนมหลายชนิด ตั้งแต่ทาร์ตไปจนถึงเทมปุระ
Sataandagi (サーターアンダギー) – เรียกง่ายๆ ว่าโดนัททอด มีหลายรสให้เลือกชิม รสสัมผัสจะคล้ายๆ เค้กที่เนื้อค่อนข้างแน่น
น้ำตาลทรายแดง – ผลิตจากต้นอ้อยในพื้นที่ เรียกว่า “โคคุโตะ” ดีต่อสุขภาพ ผู้คนมักจะกินกันเปล่าๆ หรือนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงรส
เกลือโอกินาวะ – เกลือนี้ได้มาจากน้ำทะเลโอกินาวะด้วยกรรมวิธีธรรมชาติ เต็มไปด้วยแร่ธาตุ และยังถูกใช้ในอาหารอีกด้วย
Jimami Tofu
Jimami tofu (ジーマミー豆腐) – ทำจากถั่วลิสง เต้าหู้จิมามิรสชาติไม่เหมือนกับเต้าหู้ทั่วไป มีความเหนียวและรสเค็ม เผลอๆเกินทีเดียวหมดหลายก้อนแน่ๆ

3. อาหารโอกินาวะในร้านท้องถิ่น

ร้านมิคาสะ (สาขา Matsuyama) – ตั้งอยู่บนถนน 58 ใกล้กับถนนโคคุไซ ร้านมิคาสะเป็นร้านโปรดของฉันสำหรับอาหารท้องถิ่นแบบดั้งเดิมแท้ๆ อย่างจัมปงหรือจัมปุรุด้วยปริมาณจุใจ แถมราคาไม่แพงด้วย!
เวลาทำการ: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง (ไม่มีวันหยุด)
ที่อยู่: 1 Chome-12-20 Matsuyama, Naha-shi, Okinawa
โทรศัพท์: 098-868-7469

4. ย่านสึโบยะ

หนีจากความวุ่นวายบนถนนโคคุไซมายังย่านสึโบยะ เดินไปตามถนนที่ปูด้วยหิน ก็จะพบกับร้านขายเครื่องปั้นดินเผา หรือที่เรียกว่า Yachimum ในภาษาโอกินาวะ แต่ละชิ้นมีราคาด้วยกรรมวิธีที่ซับซ้อน ที่นี่เราจะได้เห็นร้านขายของจิปาถะ (Zakka) อยู่มากมาย เช่นของทำมือต่างๆ อย่างเครื่องแก้วริวกิว หรือบินกาตะ ผ้าย้อมโบราณของที่นี่
ที่อยู่: 1 Chome-21-14 Tsuboya, Naha-shi, Okinawa

อิทธิพลจากอเมริกา

ภายใต้การยึดครองของสหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง วัฒนธรรมอเมริกันก็ค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาในวิถีชีวิตของชาวโอกินาวะทีละนิด ฉันถึงกับแปลกใจที่ได้เห็นร้าน A&W สาขาเดียวในญี่ปุ่น ไหนจะมีร้านไอศกรีม Blue Seal อีก ตอนแรกร้านเหล่านี้ถูกสร้างมาสำหรับทหารอเมริกัน จนในปัจจุบันก็มีการเปลี่ยนแปลงให้ถูกปากคนท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น โดยการใส่รสชาติอย่าง “ชิกุวาสะ” (ผลไม้รสเปรี้ยวของโอกินาวะ) หรือแม้แต่มันม่วงลงไป “สแปม” (เนื้อบดในประป๋อง)ของอเมริกันก็ยังกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของอาหารท้องถิ่นเช่น “โกยะจัมปุรุ” ส่วนอีกจานที่ผสมผสานระหว่างอาหารอเมริกัน-โอกินาวะก็คือ “ทาโก้ไรซ์” หาทานได้ทั่วไปหรือที่หมู่บ้านอเมริกันและบริเวณ Chatan ใกล้ฐานทัพทหารอเมริกัน

การเดินทาง

สนามบินนาฮะห่างจากตัวเมืองเพียงนิดเดียว – ยูอิเรล (เส้นทางรถไฟรางเดี่ยวโอกินาวะ) สามารถพาเราไปจุดท่องเที่ยวหลักๆในนาฮะได้ มี 1 Day Pass (700เยน) และ 2 Day Pass (1,200เยน) ให้นักท่องเที่ยวได้ใช้นั่งรถไฟไม่อั้น กับส่วนลดต่างๆ อีกด้วย แต่ถ้าใครอยากไปเที่ยวนอกนาฮะ แนะนำให้เช่ารถจะสะดวกกว่า เพราะระบบรถสาธารณะค่อนข้างช้าและซับซ้อน รับรองว่าขับสบายกว่าที่ไทยแน่นอน เพราะมีทางด่วนแค่เส้นเดียวเท่านั้น แต่อย่างไรก็มีสิทธิ์จะเจอรถติดในตัวเมืองเหมือนกันนะ
เว็บไซต์: http://www.yui-rail.co.jp/en/index.html
Comments